เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ส.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะ เพราะเราปรารถนาความสุข ความสุข ความสงบในชีวิตนะ สุข สงบ สันติ ทุกคนต้องการ ทุกคนอยากแสวงหา แล้วความสุขนะ ความสุข ดูเด็กๆ ความสุขของเขาอยู่ในอ้อมกอดพ่อแม่ อยู่ในอ้อมกอดหัวอกมีความสุขมาก แล้วทุกคนมีโอกาสอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะเราเกิดมาเรามีพ่อมีแม่ใช่ไหม ความสุขของเราอยู่ในอ้อมกอดของพ่อของแม่นี่มีความสุข แต่เวลามีความสุข แล้วมันโดยสัจจะโดยความจริงเป็นอย่างนั้นไหม

โดยสัจจะโดยความจริง ดูสิ ชีวกโกมารภัจจ์ เวลาพ่อแม่ เขาเกิดมา เขาไปทิ้งในถังขยะ ในพระไตรปิฎกนะ ที่ว่าพ่อแม่ไม่พร้อม เกิดมาแล้วเอาไปทิ้ง เอาไปต่างๆ มีมหาศาลเลย นั่นมันเป็นเรื่องอะไรล่ะ มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมใช่ไหม แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ โดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตถ้ามีลูกมีเต้าขึ้นมา สายบุญสายกรรม พอมีลูกขึ้นมา อชาตศัตรูปรารถนาจะฆ่าพ่อ เพราะอะไร เพราะด้วยความยุยงของเทวทัต

“สมบัติเดี๋ยวพ่อเขาก็ให้”

“แล้วถ้าเอ็งตายก่อนล่ะ”

ยุแหย่ ยุแยงตะแคงรั่วจนเอาพ่อไปขัง จะฆ่าก็ฆ่าไม่ลง สุดท้ายก็พยายามกรีดฝ่าเท้าต่างๆ ไม่ให้เดินจงกรม ไม่ให้อาหาร ให้ตายไปเอง แต่เวลาถึงที่สุดเวลาลูกเกิด เวลาลูกเกิด เขามีมหาดเล็กมารายงานตลอด อะไรเข้ารายงานก่อน เอาลูกเกิดเข้ารายงานก่อน พอลูกเกิดเข้าไปรายงาน บอกลูกเกิดแล้ว พอลูกเกิดแล้วมันมีความผูกพัน มันกระเทือนหัวใจมาก ความรักของพ่อไง พ่อที่มีความรักต่อลูกไง สั่งให้ปล่อยพ่อ สั่งให้ปล่อยพ่อ เขาก็มารายงานว่าพ่อตายแล้ว นี่ไง เวลาอชาตศัตรู ความผูกพันๆ โดยสัจจะโดยความจริง

เรื่องความสุขๆ ความสุขของสิ่งมีชีวิต ความสุขความอบอุ่นจากหัวอกของพ่อของแม่ ถ้าหัวอกของพ่อของแม่ สิ่งที่มีความสุข แล้วทุกสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาก็มีพ่อมีแม่ทั้งนั้น ถ้ามีพ่อแม่ทั้งนั้น แต่มันเป็นโอกาสช่วงสั้นๆ ช่วงที่เราไร้เดียงสา เราจำสภาวะแบบนั้นไม่ได้ไง เราจำสภาวะแบบนั้นไม่ได้ เห็นไหม

โลกนี้ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ความสุขต่างๆ ความสุขที่ความอบอุ่น ความสุข ความสงบสันติ ความสุขเป็นความจริงไง ดูสัตว์นะ เวลาสัตว์นักล่าเวลามันมีลูกมีเต้าขึ้นมา มันคุ้มครองดูแลลูกของมัน มันดูแลรักษามหาศาลเลย แต่เวลามันโตขึ้นมามันต้องพลัดพรากจากกัน ดูสิ เวลาเสือเวลาโตขึ้นมาแล้วมันต้องให้ลูกมันไปหาอยู่หากินของมันเอง เวลาช้างนะ ช้างถ้าเป็นตัวผู้ มันต้องขับออกจากฝูง เวลาถ้ามันเป็นตัวเมีย เป็นครอบครัว ครอบครัวใหญ่ นางช้างผู้มีอายุเป็นผู้พารักษาครอบครัว เวลามันต้องพลัดพราก เวลาสิ่งที่เวลาลูกมันเกิด มันดูแล มันรักษา มันรักลูกของมันมากนะ สัตว์นักล่าๆ มันไปล่าชีวิตอื่นมาให้ลูกมันเป็นอาหาร แต่มันก็รักลูกมัน มันปรารถนาลูกมัน มันคุ้มครองดูแลลูกมัน นี่ไง ถ้าความสุขๆ ความสุขมันเกิดจากตรงนั้นไง

นี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสั่งสอน มนุษย์เกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้น แล้วปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์นั้น มนุษย์เราเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาปัจจัยเครื่องอาศัยแล้วเราปากกัดตีนถีบหาอยู่หากินของเรานี่แหละ เวลาหาอยู่หากินมันก็บวกกับอำนาจวาสนาของเราไป พอบวกอำนาจวาสนา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราเกิดจากพ่อจากแม่เดียวกัน พ่อแม่เดียวกัน ลูกเป็นพี่เป็นน้องกันก็นิสัยแตกต่างกัน จริตนิสัยแตกต่างกัน ทั้งๆ ที่พันธุกรรมของพ่อของแม่ทั้งนั้นเลย แต่สิ่งที่ได้มาๆ จิตของเขา สิ่งที่เขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงนี้มันได้สร้างสมบุญญาธิการมามากน้อยแค่ไหนมันก็สะสมลงไปที่จิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้น สายบุญสายกรรมของพ่อของแม่ ถ้าพ่อแม่มีบุญมีกรรม ลูกออกมาก็ต้องเป็นคนดีทั้งหมดสิ ทำไมลูกบางคนเป็นคนดีมากๆ เลย ลูกบางคนว่าพ่อแม่ลำเอียงๆ

ไอ้นี่มันเป็นเรื่องของจิตแล้ว เป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลของเขา เวลาเขาเกิดจากอ้อมอกของเรานี่แหละ แต่มันก็มีเวรมีกรรมมาทั้งนั้นน่ะ พอมีเวรมีกรรมขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนลงมาที่นี่ไง ความสุข ความสงบ ความระงับมันสุขสงบที่ไหนล่ะ มันสุขสงบระงับตรงหัวใจของเรานี่ไง ถ้าในหัวใจของเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เวลาพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา แค่ให้ชีวิตนี้มานี่จบแล้ว เรื่องอื่นเป็นปัญหารองหมดเลย

พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่เอาไปทิ้งถังขยะ เราเติบโตขึ้นมาด้วยความดูแลของสังคมหรือด้วยความดูแลของพ่อแม่บุญธรรม มีมากเวลาคนที่เกิดมาจนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่เคยเห็นหน้าพ่อหน้าแม่เลย พอไม่เคยเห็นหน้าพ่อหน้าแม่ แสวงหาพ่อหาแม่ เวลาแสวงหาพ่อหาแม่ เวลาเขาเจอกันเขากอดกันร้องไห้ กอดกันร้องไห้ ร้องไห้ด้วยอะไรน่ะ ความตื้นตันใจไง

บางคน คนที่มีคุณธรรมในหัวใจนะ ให้อภัยพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงมาก็รัก พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงมาเลย เกิดมาเอาไปทิ้ง ก็รัก เห็นไหม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ถ้าพ่อแม่ให้ชีวิตเรามานี่จบแล้ว แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานในหัวใจมันบีบมันคั้น เวลามันคิดของมัน เห็นไหม

ฉะนั้น สิ่งนี้ธรรมโอสถ มันต้องมีคุณธรรม มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมารักษาหัวใจของเราไง ถ้ารักษาหัวใจของเรานะ หน้าที่การงานก็หน้าที่การงานอันเดิมนั่นแหละ หน้าที่การงานของคนจิตใจที่สูงส่ง จิตใจที่ดีงาม หน้าที่การงานทำแล้วก็จบไง แต่หัวใจของเรามีธรรมโอสถช่วยดูแลรักษา แต่เวลาหน้าที่การงานอันนั้น แต่เราทำด้วยความทุกข์ความยากของเรา ทำด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำด้วยความกดดันในหัวใจ แล้วมันก็กดดันหัวใจ งานก็คืองานอันนั้นน่ะ งานก็งานอันเดียวกันนั่นแหละ แต่หัวใจที่สูงส่ง จิตใจที่สูงส่งทำงานด้วยความปลอดโปร่ง ทำงานด้วยความเป็นหน้าที่ หน้าที่ของเรานะ เราหาอยู่หากินของเรา แล้วหาอยู่หากินของเรา เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เราดูแลรักษา เรามีความกตัญญูกตเวที เราทำคุณงามความดีของเราเพื่อความสุขความจริงในหัวใจของเราไง ถ้าเป็นความสุขความจริงในหัวใจของเราตรงไหน ตรงเวลาเราเป็นอิสระส่วนตัวของเรา มันคิดได้ เวลามันคิดได้ มันคิดได้ทีหลังแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย เราคิดได้ เราทำในปัจจุบันนี้ เราก็รักษาดูแลของเรา ถ้ามันมีสติมีปัญญา ถ้ามันจะสุขสงบมันจะสุขสงบมาจากหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้มันจะสงบที่ไหน

๑. ด้วยอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของคน จิตใจที่มีบุญกุศลมันคิดแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นน่ะ

๑. ด้วยอำนาจวาสนา

๒. ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ด้วยการศึกษาด้วยการค้นคว้า ด้วยการเราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพระพุทธศาสนา เห็นบุญเห็นคุณ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เวลาคนมีเวรมีกรรมต่อกัน มีความบาดหมางกันมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนให้อภัยต่อกัน ให้แคล้วคลาดต่อกัน ให้เลิกแล้วต่อกันไป

ความเลิกแล้วต่อกันไป ผู้ที่โดนกระทำเลิกแล้วต่อกัน มันทำใจได้ยากมาก แต่เวลาครูบาอาจารย์เขาบอกว่า เอ็งไปทำเขาก่อน เอ็งไปทำเขาก่อน

โอ๋ย! ไอ้คนโดนกระทำมันก็งงนะ เอ๊ะ! ไปทำเมื่อไหร่

มันมีเวรมีกรรมกันมาไง เราไปทำไว้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าเราทำไว้เมื่อไหร่ไม่รู้นะ สิ่งที่เราทำแล้วเรายกให้เวรให้กรรม สาธุ ให้อภัยเขาไป ให้เขาไป ถ้าเขาทำสิ่งใดมา เรามีสติปัญญารักษาของเรา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แพ้เป็นพระ แพ้เป็นพระ แพ้เป็นพระ แพ้ด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่แพ้แบบซื่อบื้อ มันไม่มีการแพ้การชนะกันหรอก ด้วยการยอมจำนนด้วยการบีบคั้นน่ะ

สงคราม ดูความรุนแรงมันไม่จบหรอก เวลาเขาพ่ายแพ้ไปเขาก็ไปซ่องสุมขุนพลขึ้นมาเพื่อมาแก้แค้น มันมีวันจบที่ไหน ความรุนแรง การกระทำไม่มีวันจบหรอก มันจะจบด้วยสติด้วยปัญญาเรานี่ไง แล้วด้วยสติด้วยปัญญาก็บอกว่า เราเป็นคนไร้ศักดิ์ศรี เราเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก เราเป็นคนที่โดนกลั่นแกล้ง

แต่ถ้ามันคิดด้วยสติด้วยปัญญาอย่างนี้นะ ด้วยสติด้วยปัญญา แล้วสติปัญญาถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา ฟังเทศน์ๆ เทศน์จากครูบาอาจารย์ของเราฟังสิ่งนั้นมา กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ให้เชื่อ ให้กลับไปคิด ไปพิจารณา ไปแยกแยะว่ามันถูกต้องหรือไม่ เราฟังธรรมๆ เพื่อสติเพื่อปัญญาอย่างนี้ แล้วถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา เราไปวิเคราะห์วิจัยของเรา เราใช้ปัญญาของเรา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาเอง นี่มันเกิดจากเราเอง ถ้าเกิดจากเราเอง โอ๋ย! มันภูมิใจไง แล้วถ้าเกิดจากเราเอง จิตดวงนั้นเอาตัวรอดได้แล้ว จิตดวงนั้นเอาตัวรอดได้เพราะอะไร เพราะว่าความคิดมันคิดไม่หยุดหรอก ความคิดมันเกิดดับๆ ในหัวใจตลอดไป แล้วมารมันอยู่กับเรา มันยุมันแหย่อยู่ในใจ เวลาคิดได้ดีๆ พักหนึ่ง เดี๋ยวหลุดแล้ว แต่ถ้ามันมีสติปัญญา มันมีการต่อสู้

นี่ไง เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาขึ้นมา ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ผู้ใดปฏิบัติขึ้นมาไม่มีปัญญาของตนขึ้นมา มันจะไปไหน มันหยิบยืมมาทั้งนั้นน่ะ เวลามันหยิบยืมมา เวลาครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ อะไรที่เป็นส่วนสำคัญท่านบอกข้ามไปก่อน นี่ไม่ได้ ไอ้กิเลสมันจะคอยหยิบฉวยเอาไปทำลายผู้ฟัง หยิบฉวยมาเลยนะ ธรรมะจะเป็นอย่างนั้น ธรรมะจะเป็นอย่างนั้น มันสร้างภาพหมดเลย เวลาสร้างภาพหมดเลย

เราทำ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเกือบเป็นเกือบตาย มันควรจะเป็นความดีของเรานะ เราประพฤติปฏิบัติเกือบเป็นเกือบตาย แต่จริงๆ แล้วพอธรรมะมันหยิบฉวยเอาตอนปลายนั่นน่ะ ภาวนาไปๆ ดีมาตลอด พอสุดท้ายแล้วพลิกไป ทำสู้มันไม่ได้ แพ้มัน แพ้มันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แพ้มันโดยไม่รู้ตัว ถ้ามันเป็นจริงมันก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝึกหัดกันอย่างนั้นน่ะ เหมือนนักกีฬา กีฬาที่เราอ่อนด้อยกว่า กีฬาที่เราทักษะเราต่ำกว่า แล้วร่างกายกำลังเราน้อยกว่า แพ้ทั้งนั้น แพ้ทั้งนั้น แล้วกิเลสมันแก่กล้า มันแก่กล้าในหัวใจของเรา

สิ่งที่ชำระล้างได้ยากที่สุดคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราไปมองงานนู้นยาก งานนี้ยาก งานภายนอกทั้งนั้นน่ะ แต่งานภายในหัวใจ งานเอาชนะใจของตนไง ถ้าเอาใจของตนไว้ได้ เรามีสติปัญญา งานอย่างอื่นก็ทำหมดแล้ว งานอย่างนี้งานสาธารณะ งานเพื่อประโยชน์ งานเพื่อโลก แล้วงานของเราล่ะ สิ่งที่เราสะสมไว้อย่างนี้ เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา แล้วไอ้สิ่งที่จะไปกับเราล่ะ สิ่งที่ไปกับเรามันไปกับหัวใจ ความดี ความชั่วในใจนั่นน่ะมันไปกับเรา ถ้าความดีไปกับเรา เวลาคนที่เขาจะสิ้นอายุขัย “ย่าจะไปแล้วเนาะ ย่าจะไปเที่ยวนิมมานรดี เขาเอารถม้ามารับอยู่น่ะ” เขาเห็นๆ กัน ในปัจจุบันนี้มีคนมาเล่าให้ฟัง เขาจะสิ้นชีวิตนะ เหมือนกับเขาจะไปปิกนิก ไอ้เราจะสิ้นชีวิต อู้ฮู! เราดิ้นโครมครามๆ จะเป็นจะตาย

ในปัจจุบันนี้เขามาเล่าให้ฟังอยู่ ย่าเขาบอกญาติเขานะ บอกว่าย่าจะไปนิมมานรดี ไอ้หลานๆ มันเป็นเด็กๆ มันก็งง ประสาเรานะ ทางวิทยาศาสตร์ ย่ากำลังจะตาย ไอ้เราก็เป็นทุกข์เป็นร้อนไปหมดเลย ย่าบอกว่าย่าจะไปแล้วล่ะ ย่าจะไปนิมมานรดี นั่นน่ะเขาเอารถม้ามารับ ไอ้หลานๆ มันก็งง แต่เขาก็ไปด้วยเงียบสงบนะ สุดท้ายแล้วพอเสียแล้วเขามาคุยให้เราฟัง เขามาถามว่า นิมมานรดีมันคืออะไรหลวงพ่อ เด็กมันไม่รู้จัก

พอเด็กไม่รู้จัก อ๋อ! ย้อนกลับไปว่า เวลาเขามีชีวิตอยู่เขาทำตัวอย่างไร

โอ๋ย! ให้เงินไม่ได้เลย จะทำแต่บุญๆ

เห็นไหม เขาทำของเขามา เวลาเขาจะไป เขาไปของเขา ไอ้ลูกหลานนั่งห้อมล้อมอยู่ยังไม่รู้เรื่องเลย ไอ้คนจะไปมันจะไปปิกนิก จะไปมีความสุข นี่เขาทำของเขา เขาทำ มันมีอยู่จริงนะ ในพระไตรปิฎกก็มี ในปัจจุบันนี้ก็มี

เวลาสมบัติของเราๆ นี่ไง ถ้าสมบัติของเราเราทำของเรา เราขวนขวายของเรา ใครจะติฉินนินทา ใครจะถากจะถาง ไอ้นั่นมันปากกิเลส เวลาปากกิเลสมันทำอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันสะสมไว้เป็นของมันนะ แล้วเวลาพลัดพราก เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เราต้องพลัดพรากจากเขาแน่นอน ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาเราจะพลัดพราก นั่นของเราแท้ๆ เวลาเรามีชีวิตอยู่เพื่อความมั่นคง เพื่อเรื่องสัจจะความจริงในใจของเรา เราจะทำสิ่งใดเราก็ไปเชื่อคนนอกเสียหมด เราก็ไปเชื่อไอ้พวกกิเลสตัณหาความทะยานอยากยุแยงตะแคงรั่ว ไอ้เราก็ไปใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไปกับเขา เวลามันจะหมดอายุขัย ไม่มีอะไรแล้ว ทีนี้ของเราแล้ว ไอ้เวลามีชีวิตอยู่ไปเชื่อเขา ให้เขาชักจูงอยู่อย่างนั้นน่ะ เวลาหมดอายุขัยขึ้นมา เวลาจะเป็นความจริงของเรา ไม่มีใครช่วยเราได้เลย

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อบุญกุศล ในพระพุทธศาสนาให้เชื่อกรรม กรรมคือการกระทำ ทำดีทำชั่ว ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแน่นอน แน่นอน เพียงแต่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วมันก็ย้อนมาปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ทุกคนทำดีหมดเลย แต่ดีของใคร

หนึ่ง ดีของใคร ถูกกาลเทศะหรือไม่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกรู้จักกาลเทศะ รู้จักหนัก รู้จักเบา การประพฤติปฏิบัติก็มีหนักมีเบา เวลานุ่มนวล เราก็ควรต้องเป็นความนุ่มนวล ให้จิตมันละเอียดอ่อนเข้าไปสู่ความสงบระงับ เวลาใช้ปัญญาต้องใช้กำลังกัน มันจะรุนแรงขนาดไหนก็ต้องรุนแรงไปกับเขา การทำงานมันก็มีหยาบมีละเอียด มีหนักมีเบาไปทั้งนั้นน่ะ นี้เราทำดีๆ ทำดีกับใคร เราทำดีเราทำดีในหัวใจของเราน่ะ การทำดีของเรา สิ่งที่เราทำของเราแล้วมันก็เป็นสมบัติของเรา ความลับไม่มีในโลก ไม่มีในโลกอยู่ที่คนทำนั่นน่ะ เราเป็นคนทำเอง เราทำคุณงามความดีของเรา ใครจะว่าชั่วว่าร้ายอย่างไรมันเรื่องของเขา ใครจะติฉินนินทาเรื่องของเขา แต่เราทำคุณงามความดี ถ้าทำคุณงามความดีโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างเช่นเขาซื้อยาเสพติดไปแจกคนนู้นคนนี้ ทำดีอย่างนี้ดีไหม ไม่ดี ดีไม่ได้

แต่เราคิดว่าเราให้เขาผิดพลาด แต่ไปบอกเขาให้เลิกให้หยุดให้ระงับ เราพยายามสั่งสอนเขา เขาโต้แย้งเลย เขาทำลายเราเลย เห็นไหม จะทำดีก็ต้องรู้จักกาลเทศะ ไปทำดี เขามีเหตุการณ์ไม่ดี เราไปยืนไปขวาง จะทำดี ช่วยคนจมน้ำก็ต้องว่ายน้ำเป็น ช่วยคนจมน้ำก็ต้องยื่นวัตถุให้เขาหยิบ แล้วเราชักขึ้นมา

จะทำดี เห็นคนจมน้ำ โดดลงไปเลย ก็ตายด้วยกันน่ะ จะทำดีมันก็ต้องใช้ความคิดไง ต้องใช้ความคิด ต้องใช้ปัญญา ต้องสัจจะของเรา เราจะบอกว่า คนเราเกิดมาปรารถนาความสุข ความสงบ สันติ ความอบอุ่น แล้วมันมีของมันอยู่นะ แต่ไอ้ยุไอ้แหย่ ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่แหละมันทำให้บิดเบือน เรามีสติปัญญาวางตรงนั้นไว้ เหตุการณ์เดียวกันในปัญหาเดียวกัน ถ้าจิตใจเราสูงเราส่ง สุดยอด จิตใจเราต่ำต้อย จิตใจเรามีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันน้อยเนื้อต่ำใจไปทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น หลวงตาท่านถึงบอกไง ถ้าจิตใจสูงส่ง กำขี้ก็เป็นเพชร จิตใจของคนที่หยาบช้ากำเพชรก็เป็นขี้ มันชั่วช้าลามกที่หัวใจนั้น มันเลวทรามที่ความคิดนั้น มันไม่ได้เลวทรามที่วัตถุข้าวของ มันเลวทรามที่ใจ แล้วเรา เรามา หัวใจของเราๆ เราย้อนกลับมาที่นี่ ธรรมโอสถรักษาที่นี่ เราอุตส่าห์มาทำบุญกุศลกันนะ ต้องการความสะอาดบริสุทธิ์ เราก็จะทำความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจของเรา สิ่งข้างนอกมันสะอาดบริสุทธิ์ไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นธาตุ มันเป็นธาตุ เป็นขันธ์ มันอยู่ข้างนอก แต่ข้างในหัวใจของเรา แต่ต้องฝึกฝน ฟังธรรมๆ ตอกย้ำตรงนี้

เรามองเด็กๆ ความสุขของเขาคืออยู่ในหัวอกพ่อแม่นั่นน่ะ อุ้มมันอยู่กลางอกนี่ความอบอุ่น อันนั้นมันความสุขมาก หยอกล้อกันคิกคักๆ ความสุขอยู่ในหัวอกเรานี่ อยู่ในความอบอุ่นอันนั้นน่ะ แต่ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตมันจะต้องเติบโต มันต้องยืนอยู่บนสังคม มันจะต้องเติบโตของเราไป มันก็ต้องพัฒนาขึ้นไป เราก็ต้องมีสัจจะมีความจริงในหัวใจของเรา ธรรมโอสถๆ ศึกษาค้นคว้าประพฤติปฏิบัติให้เป็นสมบัติของเราไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ยืนยัน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เอวัง